26.6.56

กินผลไม้อย่างถูกวิธี

ไทยเรามีผลไม้มากมายหลากหลายชนิด มีผลไม้ให้กินได้ทั้งปี ราคาก็ถูก อย่างนี้ต้องเรียกว่าสรวงสวรรค์แห่งผลไม้เลยก็ว่าได้ ในเมื่อเรามีของดีอย่างนี้อยู่ใกล้ตัว นอกจากนี้แล้ว จากหนังสือ Fit for life ยังได้เสนอแนวคิดจากการศึกษาที่ค้นพบว่า มนุษย์เรานั้นเดิมแล้วเป็นสัตว์ที่กินผลไม้เป็นอาหาร ทำไมเราไม่หันมากินผลไม้กันให้มากขึ้นหล่ะ

 

ประโยชน์ของผลไม้

ผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ด้วยในปริมาณ 80-90% มีกากใย ช่วยล้างพิษต่างๆ ไม่ใช่แค่นั้น ผลไม้แต่ละชนิดก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

มะละกอ ลำต้นจะมี ยาง ช่วยกัดแผล รักษาตาปลา หูด ได้ ส่วนผลที่สุกก็มีวิตามินเอสูง ซึ่งจะบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี ยังมีวิตามินซี และแคลเซี่ยมป้องกันโรคกระดูกผุอีกด้วย
มังคุด ที่เปลือกของมังคุดจะมีสาร tannin ซึ่งจะช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตขอhjubhงเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
สับปะรด สามารถรักษาที่เป็นหนองได้ วิธีการรักษาคือนำเอาผลที่สดๆ มาคั้นเอาแต่น้ำแล้วนำมา ชโลมแผลที่เป็นหนอง เอนไซม์จะช่วยย่อยกัดเนื้อเยื่อ และหนองให้หลุดออกทำให้แผลที่เป็นหนองหายได้ ถ้าหากนำน้ำสับปะรด ที่คั้นแล้วประมาณหนึ่งแก้ว ไปผสมกับน้ำสุกอีกหนึ่งแก้วเติมเกลืออีกเล็กน้อย แล้วดื่มก็จะสามารถใช้แก้ท้องผูกได้ด้วย
แอปเปิล มีสารสำคัญ คือ บีตา-แคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" .."เพคติน" นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลส-เตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอป-เปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
บีทรูท ลดความดันโลหิต ฟอกไต ช่วยขับปัสสาวะ
เสาวรส ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินสูงช่วยบำรุงสายตา ทำให้ร่างกาย แข็งแรง บำรุงกระดูก เพราะมีแคลเซียมสูง
แครอท อุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ วิตามินเอเอาไว้ใช้ ช่วยบำรุง สายตา บำรุงผิวและเนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษาโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าติด นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูด ซึมง่าย มีแพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
สตรอเบอรี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ มีวิตามินซี แมกนีเซียม โปเทสเซียมสูง ช่วยเพิ่มช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยต้านอนุมูลอสิระ ป้องกันโรคต่างๆ ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
มะเขือเทศ อุดมด้วยวิตามินซี และอี มีสารไลโคทีน ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด
แตงกวาญี่ปุ่น มีวิตามินซีและเคสูง
มะตูม ผลมะตูมอ่อน บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และช่วยขับและผายลม ผลมะตูมสุก รสหวาด แก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม
ตะลิงปลิง รสเปรี้ยวจัด ช่วยเจริญอาหาร เลือดออกตามไรฟัน มีวิตามินซีสูง
ฝรั่ง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ชะลอการลุกลามของมะเร็ง ช่วยทำให้แผลหายเร็ว ช่วยกระตุ้น การทำงานของเม็ดเลือดขาว และสร้างภูมิคุ้มกัน จึงสามารถป้องกันการเป็นหวัดได้
มะขาม มีวิตามินเอและซี นอกจากนั้น ยังมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นยาระบายแก้ไอขับเสมหะ

จาก wikipedia

 

ผลไม้ไทย

Flickr

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินผลไม้เป็นอย่างมาก เพราะมันช่วยเรื่องระบบขับถ่ายเป็นอย่างดี โดยไม่ต้องใช้กาแฟเป็นตัวช่วย

แต่พอกินไปกินมาก็ชักจะสงสัย ว่าจริงๆแล้ว ที่หลักในการกินผลไม้ของผมมันถูกต้องหรือไม่ ไหนๆก็จะกินแล้วก็ขอให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการกินสักหน่อยก็แล้วกัน

 

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนว ความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่าย ของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกาย จะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้ อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้ พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหาร อื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไป ตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลา ย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็ก ได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหาร และผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้ เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้ จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กิน ผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหาร แล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้า นั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่น จนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่า ของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อย ต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่ สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเรา สามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อย กินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหาร สำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

จาก http://www.healthtoday.net

 

เพื่อประโยชน์สูงสุดในการกินผลไม้ หลักสำคัญที่สุดคือ ผลไม้ต้องสด สะอาด ไม่ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือปรุงรสใดๆ และผลไม้บางชนิดก็มีข้อยกเว้นห้ามทานตอนท้องว่าง เช่น สับปะรดและมะละกอ เพราะผลไม้สองชนิดนี้มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อย มีฤทธิ์เป็นกรด จึงไม่ควรทานตอนท้องว่าง

 

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมมาทานผลไม้กันเยอะๆนะครับ

feature images from: Flickr

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น