10.8.55

7อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง

ห่างหายจากการอ่านหนังสือไปนาน วันก่อนอ่านหนังสือจบไปเล่มหนึ่ง เลยเอามาแชร์กัน เป็นหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยา ตามเคย หนังสือเล่มนี้เชื่อว่าหลายคนเคยอ่านกันมาแล้ว แต่ก็น่าจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยอ่าน (ก็แน่หล่ะ) หนังสือที่แปลมากว่า 38 ภาษา มียอดขายกว่า 20 ล้านเล่มทั่วโลก แถมพิมพ์ในไทยมาแล้ว 9 ครั้ง เป็นหนังสือ Worldwide Best Seller เลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้ก็คือ…. “7อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง – The 7 habits of highly effective people” ของ ดร.สตีเฟน อาร์. โควีย์ (Stephen R. Covey) ผู้ซึ่งเคยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 25 ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก จากนิตยสาร Times

10-1

หนังสือแบ่งออกเป็น 4 ภาคใหญ่ๆ และอุปนิสัยต่างๆดังนี้

ภาคที่ 1 กรอบความคิดและหลักการ ภาพรวมของ อุปนิสัยทั้ง 7 ประการ

ภาคที่ 2 ชนะใจตนเอง

  • อุปนิสัยที่ 1 โปรแอกทีฟ
  • อุปนิสัยที่ 2 เริ่มต้นด้วยจุดหมายในใจ
  • อุปนิสัยที่ 3 ทำสิ่งสำคัญก่อน

ภาคที่ 3 ชนะใจคนอื่น

  • อุปนิสัยที่ 4 คิบแบบ ชนะ/ชนะ
  • อุปนิสัยที่ 5 เข้าใจผู้อื่นก่อน แล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา
  • อุปนิสัยที่ 6 ผนึกพลังประสานความต่าง

ภาคที่ 4 การปรับตัวใหม่

  • อุปนิสัยที่ 7 ลืบเลื่อยให้คมอยู่เสมอ

 

เนื้อหาโดยย่อ

เนื้อหาจาก http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=3117

Stephen R. Covey หนึ่งใน Quality Guru ที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันและอดีตประธานที่ปรึกษาของ
ประธานาธิบดี Clinton ได้กล่าวถึงอุปนิสัย 7 ประการที่จะช่วยพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
อุปนิสัยทั้ง 7 ประการนี้ได้แก่
1. Be proactive ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อน
2. Begin with the end in mind เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ
3. Put first things first ทำตามลำดับความสำคัญ
4. Think win / win คิดแบบชนะ / ชนะ
5. Seek first to undersland, then to be understood เข้าใจผู้อื่นก่อนจะให้ผู้อื่นเข้าใจเรา
6. Synergy ประสานพลัง
7. PDCA ลับเลื่อยให้คม


กรอบความคิดและหลักการ (ภาพรวมของอุปนิสัยทั้ง 7)
ก่อนที่จะอธิบายเกี่ยวกับอุปนิสัยทั้ง 7 ผู้เขียนได้อธิบายให้เราเข้าใจถึง "กรอบความคิด" หรือ
Paradigms ของตัวเราเองและดูว่าเราจะสามารถ "เปลี่ยนกรอบความคิด" (Paradigms Shift) นี้ได้อย่างไร เพราะแต่ละคนย่อมมีมุมมองที่ต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการมองและการตีความ เ
มื่อเข้าใจความหมายของ Paradigms ได้ดีขึ้นและเริ่มเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง
และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ก็จะทำให้เรามีโลกทัศน์ที่กว้างไกลกว่าเดิม
ทุกชีวิตเริ่มต้นด้วยการเป็นทารก ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นตลอดเวลา (Dependence) พอโตขึ้นก็เริ่ม
พึ่งพาตนเอง (Independence) มากขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนสามารถดูแลตนเองได้
และพัฒนาจนถึงขั้นมีความคิด และความเชื่อมั่นเป็นของตนเอง
เมื่อเริ่มเป็นผู้ใหญ่จะตระหนักถึงการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Interdependence)
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เฉพาะคนที่พึ่งพาตนเองได้แล้วเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยที่ 1, 2, 3 จึงเกี่ยวข้องกับการเอาชนะใจตนเอง คือ เ
ปลี่ยนจากคนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นไปเป็นคนที่พึ่งพาตนเองหรือ "ชนะใจตนเอง"
เมื่อพึ่งพาตนเองได้ถือว่ามีพื้นฐานสำหรับการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ก็จะสามารถก้าวไปสู่การ "ชนะใจผู้อื่น"
ด้วยการทำงานเป็นทีมและสื่อสารอย่างมีประสิทธิผลในอุปนิสัยที่ 4, 5, 6
สำหรับอุปนิสัยที่ 7 เป็นอุปนิสัยที่ต้องหมั่นทบทวนอย่างสม่ำเสมอ


ชนะใจตนเอง (อุปนิสัยที่ 1-3)
อุปนิสัยที่ 1 ต้องเป็นฝ่าย เริ่มต้นทำก่อน (Be Proactive)
เป็นอุปนิสัยเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดของคนที่จะมีประสิทธิผลในทุกสถานการณ์ คำว่า Pro-activity
มีความหมายมากกว่าการริเริ่ม
คนที่ Proactive จะมีความรับผิดชอบดีมาก ไม่ตำหนิสภาพแวดล้อม เงื่อนไขต่าง ๆ หรือข้อจำกัดจากพฤติกรรมของเขา การกระทำของเขาเกิดจากการเลือกของตนเองซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่ามากกว่าผลจากเงื่อนไขหรือความรู้สึก
แก่นแท้ของคนที่ Proactive คือความสามารถในการเก็บแรงกระตุ้น การตอบสนองกับสิ่งกระตุ้นจะเป็นไปอย่างรอบคอบ และผ่านการชั่งใจมาแล้ว ต่างกับคนที่ Reactive หรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ มักได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขทางสภาพแวดล้อมและเลือกที่จะให้อำนาจเหล่านั้นมาควบคุมตน
อุปนิสัยที่ 2 เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ (Begin with the end in mind)
เริ่มต้นด้วยการมองเห็นกรอบความคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายสุดท้ายในชีวิตของเราเพื่อใช้เป็นกรอบอ้างอิง ตรวจสอบทุกอย่างที่ผ่านมาว่าสอดคล้องกับสิ่งที่กำหนดไว้ในใจหรือไม่
โดยต้องกำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน และพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ขัดแย้งกับสิ่งที่เรากำหนดไว้ว่าสำคัญที่สุดและทำให้เข้าใกล้เป้าหมายให้มากที่สุด


อุปนิสัยที่ 2 นี้มีพื้นฐานอยู่บนหลักการของ "ความเป็นผู้นำ" ซึ่งต่างจากการเป็น "ผู้จัดการ" "การจัดการ" เหมือนความสามารถในการไต่บันไดแห่งความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล
แต่ "ความเป็นผู้นำ" เหมือนกับการพิจารณาว่าบันไดอันไหนพิงอยู่บนกำแพงที่ถูกต้อง บ่อยครั้งที่เราทำงานหนักเพื่อไต่บันไดแห่งความสำเร็จแต่กลับพบว่าบันไดนั้นพิงผิดที่
วิธีที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในการเริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจก็คือ
การสร้างคำปฏิญญาส่วนตัว (Personal Mission Statement)
โดยต้องเริ่มต้นที่ "ศูนย์รวม" ของขอบเขตที่สามารถทำได้เสียก่อน "ศูนย์รวม" มีหลายแบบ เช่น
"ศูนย์รวม" อยู่ที่คู่ครอง ครอบครัว เงิน ที่ทำงาน การเป็นเจ้าของ ความยินดีและความพอใจ
มิตรหรือศัตรู วัด และตนเอง เป็นต้น
"ศูนย์รวม" นี้จะเป็นแหล่งกำหนดปัจจัยสนับสนุนชีวิต 4 ประการ ได้แก่
ความมั่นคงในจิตใจ (Sevurity),
เครื่องนำทาง (Guidance),
ปัญญา (Wisdom),
และอำนาจ (Power)
ปัจจัยทั้ง 4 นี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะให้ประโยชน์สูงสุด
ความมั่นคงในจิตใจและเครื่องนำทางที่ชัดเจนนำมาซึ่งปัญญา และปัญญาเป็นตัวจุดประกายให้มีการใช้อำนาจ ผลกระทบในด้านบวกที่จะเกิดกับชีวิตเราขึ้นอยู่กับชนิดของ "ศูนย์รวม" ที่เราเป็นอยู่
อุปนิสัยที่ 3 ทำตามลำดับความสำคัญ (Put first thing first)
การบริหารงานที่มีประสิทธิผลคือ การทำตามลำดับความสำคัญ ในขณะที่ผู้นำเป็นคนตัดสินใจว่าสิ่งไหนต้องทำก่อน ผู้จัดการจะนำสิ่งนั้นมาไว้เป็นลำดับแรกของการทำงาน การบริหารจัดการก็คือ
การจัดระเบียบวินัยเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จนั่นเอง


อุปนิสัยที่ 3 นี้เกี่ยวข้องกับ "การบริหารเวลา" โดยมีปัจจัย 2 อย่าง
ความ "เร่งด่วน" และ
"สำคัญ"
ที่เป็นตัวกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เวลาแต่อยู่ที่การ "จัดการกับตัวเอง"


ชนะใจผู้อื่น (อุปนิสัยที่ 4-6)
อุปนิสัยที่ 4 คิดแบบ ชนะ / ชนะ (Think win / win)
แนวคิดแบบชนะ / ชนะ เป็นกรอบของความคิดที่แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน ข้อตกลงหรือการแก้ปัญหาต่าง ๆ เป็นไปเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์
แนวคิดชนะ / ชนะวางอยู่บนพื้นฐานของกรอบความคิดที่ว่า ยังมีที่ว่างสำหรับทุกคน ความสำเร็จของคนคนหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้อีกคนหนึ่งล้มเหลวเสมอไป
อุปนิสัยที่ 4 นี้ ต้องอาศัยความเป็นผู้นำอย่างมาก ผู้นำที่ดีนั้นต้องมองการณ์ไกล มีความคิดริเริ่ม
กล้าตัดสินใจและมั่นคง นำทางได้ มีภูมิปัญญาและอำนาจซึ่งมาจากการเป็นคนที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงแก่นแท้ของอุปนิสัย 3 อย่างที่จำเป็นต่อ
กรอบความคิดแบบ ชนะ / ชนะ ได้แก่ ความซื่อตรง ความเป็นผู้ใหญ่ และความมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่


อุปนิสัยที่ 5 เข้าใจผู้อื่นก่อนจะให้ผู้อื่นเข้าใจเรา (Seek first to understand, then to be understoo)
เป็นกุญแจสำคัญของหลักการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีประสิทธิผล
การติดต่อสื่อสารถือเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในชีวิต เราใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้วิธีการอ่าน เขียน และพูด
แต่น้อยคนที่ได้ผ่านการฝึกอบรมเรื่องการฟัง
การฟังในที่นี้หมายถึงการฟังเพื่อแสวงหาความเข้าใจซึ่งมากกว่าการสนใจฟัง
เราต้องฟังด้วยหู ด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ด้วยความหมายที่แสดงออกมา
เราฟังถึงพฤติกรรมและใช้สมองด้านซ้ายและขวาไปพร้อมกัน
การรับฟังเพื่อแสวงหาความใจส่งผลดีอย่างมากเพราะทำให้เราได้ข้อมูลที่ถูกต้อง


อุปนิสัยที่ 6 ประสานพลัง (Synergize)
หมายถึง การนำข้อดีของอุปนิสัยทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันเพื่อทำงานใหญ่ให้สำเร็จ
กุญแจสำคัญของการประสานพลังระหว่างบุคคลนั้นก็คือ
การประสานพลังในตัวบุคคลนั่นเอง เป็นการประสานพลังภายในตัวเองโดยการทำให้อุปนิสัยทั้ง 3 ข้อแรกฝังอยู่ในตัวเราให้ได้ ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกมั่นคงเพียงพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
เมื่อเรามีหลักการทั้งสามอยู่ในใจแล้ว ก็เหมือนกับเราได้พัฒนาจิตใจที่เอื้อเฟื้อ และมีความคิดแบบ ชนะ / ชนะ อันเป็นพลังของอุปนิสัยที่ 5
ในการสื่อสารแบบประสานพลัง เราต้องเปิดใจ เปิดความคิดให้กว้างและเตรียมความรู้สึกให้ดี พร้อมรับมือกับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งทางเลือกใหม่และโอกาสใหม่ ซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าจะขัดแย้งกับอุปนิสัยที่ 2 (เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ) แต่ในความเป็นจริงเรากำลังทำให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่างหาก


อุปนิสัยที่ 7 ลับเลื่อยให้คม (Sharpen the saw)
เป็นหลักการปรับตัวใหม่ให้สมดุลซึ่งทำให้อุปนิสัยที่เหลือทั้งหมดทำงานได้ผล เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ช่วยรักษาและเพิ่มคุณค่าที่มีอยู่ในตัวให้มากขึ้น เป็นการปรับเปลี่ยนของสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราโดยธรรมชาติ 4 อย่าง ได้แก่
ร่างกาย จิตวิญญาณ สติปัญญา และความรู้สึกที่มีต่อสังคม
คำว่า "ลับเลื่อยให้คม" หมายถึง การแสดงให้เห็นถึงพลังขับดันทั้ง 4 อย่าง และการฝึกหัดใช้พลังทั้ง 4 ที่มีอยู่ในตัวเราอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมออย่างฉลาดและสมดุลย์ ซึ่งจะทำได้ก็ต้องเป็นคนที่ชอบลงมือก่อน
ในขณะที่ภาคร่างกาย สติปัญญา และใจเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอุปนิสัยที่ 1, 2 และ 3
ซึ่งมีศูนย์รวมเน้นไปที่วิสัยทัศน์ส่วนตัว ความเป็นผู้นำ และการจัดการ
แต่ทางภาคสังคมและอารมณ์จะเน้นไปที่อุปนิสัยที่ 4, 5 และ 6
ซึ่งมีศูนย์รวมที่เน้นไปที่การติดต่อระหว่างบุคคลของการเป็นผู้นำ การติดต่อสื่อสาร และการร่วมมือกันสร้างสรรค์
ดังนั้นการที่จะประสบความสำเร็จในอุปนิสัยที่ 4, 5 และ 6 นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของสติปัญญาแต่เป็นเรื่องของอารมณ์

 

ความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือ

เนื้อหาของหนังสืออาจจะยากสักหน่อยกับคำบางคำ เพราะเป็นหนังสือแปล อุปนิสัยทั้งหมดเข้าใจได้ง่าย แต่ทำยากหน่อย แต่หากทำได้ รับรองได้ว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกล เนื้อหาครอบคลุมทั้งความสำเร็จส่วนตน(ในภาค2) ความสำเร็จส่วนรวม(ภาค3) ทั้งในด้านธุรกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล องค์กร การทำงาน สุขภาพ ครอบครัว ไปจนถึงความรู้สึกลึกๆ แม้เพียงเล็กน้อยที่ทำให้เกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่

เราสามารถหยิบพัฒนาอุปนิสัยใดอุปนิสัยหนึ่งก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ทุกอุปนิสัยเกี่ยวเนื่องกัน ส่งเสริมกัน ทำให้หากเราพัฒนาศักยภาพขึ้นไปอีกระดับ เนื้อหาเป็นสากล ผ่านการพิสูจน์จากคนทั่วทุกมุมโลก ยิ่งเวลาผ่านยิ่งตอกได้ถึงคุณค่าของอุปนิสัยทั้ง 7

ถือเป็นหนังสือเล่มหนาคุณภาพคับเล่มอีกเล่มหนึ่งที่อยากให้ได้อ่านกัน

 

ข้อมูลหนังสือ

ชื่อสินค้า  : 7 อุปนิสัย สำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง
ISBN : 9789749325759
ผู้เขียน : สตีเฟน อาร์. โควีย์
สำนักพิมพ์ : ดีเอ็มจี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น